เสียงธรรมจากห้อง “เมตตาภิรมย์กรรมฐาน”
วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน 2568
เรื่อง บุญนิมิตนิพพาน
โดย อาจารย์ คณานันท์ ทวีโภค
กำหนดสติในความรู้สึกตัวทั่วพร้อม ผ่อนคลายร่างกายกล้ามเนื้อทุกส่วน ปลดปล่อยความเกาะความยึด ผัสสะที่กำหนดรู้ในร่างกาย ปล่อยวาง ผ่อนคลาย เป็นการปล่อยวางตัดร่างกายขันธ์ห้า ยิ่งวางยิ่งเบา ยิ่งวางยิ่งสงบ การสงบระงับในขันธ์ห้าร่างกายนี้ได้ ย่อมเข้าถึงความสุขสงบ ปล่อยวางร่างกาย ยิ่งวางจิตยิ่งสงบ ทรงสภาวะความสงบจากการตัดขันธ์ห้าร่างกาย ให้จิตได้จดจำสภาวะ ว่าเมื่อไรเราวางกายได้ ตัดกายได้ ตัดขันธ์ห้าได้ จิตย่อมเข้าถึงความสงบ ความสงบที่ปรากฏขึ้นนั้น เป็นไปทั้งความสงบอันเกิดขึ้นจากสมาธิ เกิดขึ้นจากอารมณ์ฌาน และเป็นอารมณ์แห่งความสงบที่ปรากฏขึ้น จากวิปัสสนาญาณ จากการปล่อยความกังวลความห่วงความวุ่นวาย และกิเลสทั้งหลาย อันเชื่อมโยงเกี่ยวเนื่องกับขันธ์ห้า ปล่อยวางกาย เข้าสู่ความสงบ
เมื่อจิตเข้าถึงความสงบจากการตัดกายขันธ์ห้าแล้ว เราก็มาปลดปล่อยความกังวล ละวางความกังวลความวุ่นวายใจนิวรณ์ทั้งห้าประการ ด้วยการเดินจิตเข้าสู่สมาธิในอานาปานสติกรรมฐาน จินตภาพเห็นลมหายใจเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออกกาย ลมหายใจ กำหนดรู้ดูตาม สติกำหนดรู้ต่อเนื่องอยู่กับลมหายใจตลอดสายตลอดทั้งกองลม เห็นสภาวะเป็นเหมือนกับแพรวไหมพลิ้วผ่านเข้าออก
กำหนดรู้อยู่กับลมหายใจนั้น กำหนดรู้ ว่ายิ่งลมหายใจมีความเบามีความสงบ อารมณ์จิตเรายิ่งเข้าถึงความสุขของสมาธิ ลมหายใจยิ่งละเอียด จิตเรายิ่งละเอียด อารมณ์จิตที่เข้าถึงความเบาสบาย คืออารมณ์จิตที่ปรากฏความเป็นทิพย์ ญาณเครื่องรู้ต่างๆก็ปรากฏรู้ขึ้นได้ในสภาวะที่จิตมีความเบา มีความสุข มีความสบาย เป็นอุปจารสมาธิ
ลมหายใจละเอียด สงบ เบาสบาย เมื่อลมหายใจของเราสงบ ทรงสภาวะความสบาย ลมหายใจละเอียด อารมณ์จิตละเอียด เราก็เดินจิตในอานาปานสติให้สูงขึ้น เป็นฌานสี่ในอานาปานสติ กำหนดหยุดจิต นิ่งหยุด หยุดการปรุงแต่ง หยุดอกุศล หยุดจนเข้าถึงเอกัคคตารมณ์ เข้าถึงอุเบกขารมณ์ จิตเกิดจิตตานุภาพอยู่เหนือจิตของเราเอง สามารถบังคับควบคุมให้จิตเราหยุดจากความคิด หยุดจากการปรุงแต่ง หยุดจากอกุศล หยุดความคิดฟุ้งวุ่นวายทั้งปวง นิ่ง สงบ หยุด
เมื่อทรงสภาวะ ฌานสี่อานาปานสติได้อย่างเสถียรตั้งมั่น ต่อไปเราก็เดินจิตขึ้นจากฌานสี่ในอานาปานสติเข้าสู่สมถะสมาธิในกสิณ กสิณนั้นเป็นบาทฐานของอภิญญาจิต เป็นบาทฐานของอภิญญาใหญ่ เรากำหนดจากจุดที่จิตของเราหยุดนิ่งเป็นหนึ่ง กำหนดน้อมนึกจินตภาพ จากจุดค่อยๆขยายเป็นดวงแก้วทรงกลม จากดวงแก้วทรงกลมปรากฏขึ้นกลายเป็นเพชรประกายพรึก มีรัศมีสว่างแพรวพราว ดวงจิตสว่างไสวระยิบระยับ เส้นแสงรัศมีจากจิตของเรา เป็นเส้นตรงสีรุ้งกระจายออกไปโดยรอบ360องศา พ้นเลยจากรัศมีของจิต ปรากฏมีบรรยากาศสภาวะความเป็นทิพย์ เป็นกากเพชรพร่างพรายรายรอบระยิบระยับ กำหนดทรงสภาวะให้รัศมีคลื่นแสงสว่างเส้นแสงรัศมีของจิต เป็นกระแสอารมณ์ เป็นกระแสความรู้สึก เป็นกระแสของความเมตตา ความสงบร่มเย็น ให้จิตของเรานั้นเป็นปฏิกรณ์พลังงานแห่งความสุขความสว่างความผ่องใส กลั่นจิตให้ละเอียดยิ่งขึ้นไปอีก สว่างแล้วสว่างขึ้นได้อีก เป็นเพชรระยิบระยับแพรวพราวแล้วให้ระยิบระยับแพรวพราวขึ้นไปอีก จิตเอิบอิ่มเป็นสุขอยู่แล้วก็ให้เป็นสุขเอิบอิ่มขึ้นไปอีก
การที่เราจะแผ่เมตตาออกไป มีกระแสมีความสว่างมีความผ่องใสมีพลังงานมากเท่าไร ขึ้นอยู่กับอารมณ์แห่งความสุข จิตที่เป็นสุขย่อมเปล่งประกายกระแสแห่งความสุขออกไป จิตที่เปี่ยมไปด้วยความสว่างย่อมส่องสว่างออกไป จิตที่เปี่ยมไปด้วยเมตตา ยิ่งเปล่งประกายแผ่กระแสคลื่นแห่งความเมตตาความรู้สึกความสบายความสุขกระจายออกไป
ดังนั้นทุกสิ่งทุกอย่างต้องเริ่มจากจิตของเรา เราไม่สามารถให้ในสิ่งที่เราไม่มี เราจะเปล่งประกายแห่งแสงสว่างความสุขออกไป จิตเราก็ต้องทั้งสว่างทั้งเป็นสุขทั้งมีความเมตตาถึงพร้อมอยู่ การที่เราฝึกเจริญเมตตา การที่เราฝึกทรงฌานสมาบัติ การที่เราฝึกกลั่นจิตของเราให้ใสสว่างแพรวพราวมากเท่าไร จิตเราก็ยิ่งเพิ่มตบะเดชะเกิดกำลังจิต เกิดรัศมี เกิดความสว่าง เกิดความผ่องใส เกิดความเมตตา ก่อกำเนิดอย่างลึกจากภายในจิตเรา เพิ่มพูนขึ้นมากขึ้นเพียงนั้น เปล่งประกายกระแสของเมตตาความสว่างของจิต ให้จิตของเราสว่างผ่องใส ให้จิตของเรานั้นเป็นสุข จิตเป็นเพชรระยิบระยับ กลั่นจิตให้ใส ทรงสภาวะที่จิตผ่องใสที่สุดเต็มกำลังเช่นนี้ ให้มีความเสถียร คือมีความตั้งมั่น ทรงฌานสมาบัติ ในอารมณ์จิตที่ผ่องใสเป็นประกายพรึก เป็นปฏิภาคนิมิตเต็มกำลังไว้เช่นนี้ ทรงอารมณ์ไว้
เมื่อทรงสภาวะทรงฌานสมาบัติ ที่จิตประภัสสรเต็มกำลังที่สุดได้อย่างราบรื่นเสถียรตั้งมั่นดีแล้ว ผลของการฝึก ผลของการปฏิบัติ ก็จะทำให้เวลาที่เราใช้ฌาน การทรงฌาน การใช้ญาณเครื่องรู้ การใช้กำลังของมโนมยิทธิ จิตเราก็จะมีความเสถียร ทรงสภาวะในภพนั้น แยกกายทิพย์โดยที่กายทิพย์ของเรานั้นมีความเสถียรไม่มีอาการขึ้นๆลงๆ ตั้งมั่นราบรื่นอยู่ได้เป็นปกติ กำลังจิตตานุภาพเพิ่มขึ้น ตั้งมั่นขึ้น มีเสถียรภาพของจิตมากขึ้น ซึ่งจิตตานุภาพจากการเพาะบ่มฝึกฝนยิ่งมีผล เป็นกำลังในการตัดกิเลส กำลังจิตกำลังสมถะที่ใช้ตัดกิเลสสำหรับคนทั่วไป บางครั้งสมาธิยังอ่อน อินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ในยามพิจารณา อารมณ์ก็มีการขึ้นลง ถูกรบกวนจากนิวรณ์ห้าประการบ้าง จากความฟุ้งวุ่นวายใจ จากความวิตกกังวล จากความกลัวจากความสงสัยจากวิจิกิจฉา กำลังของจิตสมาธิก็ไม่มีกำลังในการประหัตประหารกิเลส ไม่มีกำลังในการทรงสภาวะการทรงฌาน ดังนั้นการที่เราฝึก เราก็จงรู้ประโยชน์ของการฝึก แล้วก็พึงใช้ประโยชน์จากการที่เราฝึกให้สมค่า คือฝึกทรงอารมณ์ให้มีความตั้งมั่นต่อเนื่องยาวนาน เสถียรเป็นปกติ เข้าสภาวธรรม เข้าสภาวะฌาน เข้าสภาวะสมาธิได้อย่างเด็ดขาด รวดเร็ว ง่ายดาย เพียงแค่ลัดนิ้วมือเดียว
เมื่อเรารู้เราทราบประโยชน์แห่งการฝึกดีแล้ว ทบทวนกำลังใจ ทบทวนการปฏิบัติดีแล้ว
ลำดับต่อไปเราก็กำหนดใช้กำลังของมโนมยิทธิ โดยกำหนดน้อมรำลึกนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้า กำหนดอาราธนาภาพพุทธนิมิตให้ปรากฏขึ้นในจิตของเรา เป็นภาพองค์พระที่เป็นเพชรใสระยิบระยับสว่าง เมื่อภาพองค์พระปรากฏ เราก็น้อมทรงอารมณ์ในพุทธานุสติกรรมฐานเต็มกำลัง
เคล็ดลับหัวใจของการฝึกมโนมยิทธิ เคล็ดลับหัวใจของการทรงสภาวะในพุทธานุสติกรรมฐาน ก็คือ ภาพพุทธนิมิตที่จิตเรากำหนดขึ้น จิตเราปราศจากความลังเลสงสัย จิตเรามีความศรัทธามั่นคงในไตรสรณคมน์ จิตเรามีความมั่นคงเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าอย่างยิ่งว่า ภาพที่ปรากฏ พุทธนิมิตที่ปรากฏนั้น มีพุทธานุภาพของพระพุทธองค์เสด็จมาปรากฏ จำเพาะเจาะจง โปรดเราโดยตรง ประดุจพระพุทธองค์ท่านทรงมีพระชนม์ชีพเสด็จมาโปรดเรา
ดังนั้น ไม่ว่าเวลาที่เราไปกราบพระพุทธรูปที่ใด จิตเราก็กราบถึงพระพุทธองค์ ประดุจพระพุทธองค์ยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ฉันนั้นทุกครั้ง และก็พ่วงอยู่เสมอว่า เมื่อไรที่เราเห็นพุทธะ เราเห็นพระพุทธรูป จิตเราเห็นพระพุทธองค์บนพระนิพพาน เมื่อไรที่เราเชื่อมโยงด้วยความเข้าใจเช่นนี้ได้เป็นปกติ กำลังใจเราก็จะสูง กลายเป็นว่าทุกครั้งที่นึกถึง จิตเราก็ถึงทั้งพระพุทธองค์ คือเข้าถึงไตรสรณคมน์ และจิตเราก็เข้าถึงพระนิพพานด้วยเช่นกัน ดังนั้นผูกไว้เช่นนี้เสมอ กำหนดจิตของเราไว้ ตั้งกำลังใจของเราไว้เช่นนี้เสมอ จำไว้ว่าบุคคลอื่นเห็นพระพุทธรูป เขามองเห็นว่าเป็นเพียงพระอิฐพระปูนหรือโลหะ จุดนี้เป็นวิจิกิจฉา เป็นความไม่มีศรัทธาของจิตเขา แต่สำหรับเราแล้ว ในยามที่เราเห็นภาพพระ จะเป็นพระพุทธรูปหรือแม้แต่ภาพที่เป็นภาพ เป็นภาพโปสเตอร์เป็นภาพพิมพ์ หรือเป็นภาพในโทรศัพท์ในแท็บเล็ต เราไม่ได้เห็นสักแต่ว่าเห็น แต่เราเห็นด้วยความศรัทธาเลื่อมใสมั่นคง เป็นไตรสรณคมน์ที่มั่นคงของจิตเรา เป็นจิตที่เข้าถึงพระนิพพานอย่างไม่มีวิจิกิจฉาความลังเลสงสัย เป็นความมั่นคงในพระรัตนตรัยในจิตของเรา
เมื่อกำหนดน้อมนึกปรากฏภาพพุทธนิมิตองค์พระเป็นเพชรประกายพรึกสว่าง เราก็ตั้งจิตอธิษฐาน ขออาราธนาบารมีพุทธานุภาพ ขอพระพุทธองค์ทรงเมตตาสงเคราะห์ข้าพเจ้า ยกจิตอทิสมานกายของข้าพเจ้าขึ้นไปบนพระนิพพาน ปรากฏอยู่ท่ามกลางพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธานด้วยเทอญ
กำหนดจิตว่าเราไปอยู่เบื้องหน้าสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่มาก รายล้อมพรั่งพร้อมล้อมรอบด้วยทุกท่านบนพระนิพพาน จากนั้นกำหนดรู้ในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ กำหนดรู้ การกำหนดรู้ก็เหมือนกับการที่เราทำความรู้สึกตัวทั่วพร้อมของกายเนื้อ แต่การกำหนดรู้ในความเป็นอทิสมานกาย คือทำความรู้สึกในความเป็นทิพย์ ว่าอทิสมานกายกายพระวิสุทธิเทพของเรานั้นอยู่ในสภาวะใด ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมาประคองจับมงกุฎที่ปรากฏขึ้น จับเนื้อ จับตัว ทำความรู้สึก ว่าเรามีเครื่องทรงอย่างไร มีความเป็นแก้วใสอย่างไร แขนขามีเครื่องประดับ ข้อมือมีเครื่องประดับอย่างไร นิ้วมีพระธรรมรงค์คือแหวนอยู่กี่นิ้วหรือทั้งสิบนิ้ว เสื้อผ้ามีเครื่องประดับ มีทับทรวง มีอินธนู เรากำหนดรู้ กำหนดให้กายที่เป็นกายพระวิสุทธิเทพที่เป็นแก้วใส สว่างขึ้น
เมื่อเรากำหนดในความเป็นกายพระวิสุทธิเทพชัดเจนแล้ว เราก็มาพิจารณาซ้ำว่า ตอนนี้เราอยู่บนพระนิพพาน เราอยู่ในกายแห่งพระวิสุทธิเทพ กายที่ปรากฏนี้ไม่ใช่กายเนื้อ กายเนื้อขันธ์ห้าไม่ใช่ตัวเราของเรา สมมุติในการเป็นนาย เป็นนาง เป็นนางสาว เป็นบุคคลบนโลกมนุษย์ เป็นเพียงแค่สมมติของกายเนื้อ แต่เราคือ จิตอทิสมานกายที่แต่เดิมเราเวียนว่ายตายเกิดไปในสังสารวัฏ เปลี่ยนรูป เปลี่ยนกาย เปลี่ยนขันธ์ ไปตามเวรตามวิบาก ตามบุญตามกุศล ที่นำพาให้จิตดวงนี้ไปจุติ แต่ตอนนี้จิตดวงนี้มีเป้าหมายที่ชัดเจนมั่นคงคือพระรัตนตรัย ดังนั้นต่อไปจิตดวงนี้จะทรงไว้แต่กายที่เป็นกายพระวิสุทธิเทพ ถึงแม้ว่าเราจะไปปรากฏไปธุระ ไปอธิษฐาน ไปกราบเทวดาพรหมที่เป็นผู้ใหญ่ในภพอื่นภูมิใด นับแต่นี้เราจะจดจำว่า จิตของเรามีเพียงกายที่เป็นกายพระวิสุทธิเทพ เพราะเราจะไปพระนิพพานเพียงจุดเดียว สิ้นจากขันธ์ห้าร่างกายกายหยาบ หมดเวลาวาระ กายเนื้อนี้มันตายไปเมื่อไร ขันธ์ห้านี้แตกดับไปเมื่อไร เราจะมีที่ไปจุดเดียวก็คือพระนิพพาน ซึ่งใช้เครื่องแบบก็คือกายพระวิสุทธิเทพแบบนี้ ดังนั้นเราก็ใช้การทรงสภาวะในการเป็นกายพระวิสุทธิเทพแบบนี้ให้เป็นปกติ จนจิตมันไม่ได้เปลี่ยน ไม่ต้องไปเปลี่ยน ไม่ว่าเราจะไปภพใด ไปทำธุระ ไปกราบท่านปู่ท่านย่า เราก็ไปด้วยกายพระวิสุทธิเทพ ไปกราบท่านท้าวสหัมบดีพรหมเราก็ไปด้วยกายพระวิสุทธิเทพ ไปกราบท่านปู่ศรีสุทโธในเมืองบาดาลนาคนครเราก็ไปด้วยกายพระวิสุทธิเทพ ไปให้เป็นปกติ ทำบุญสร้างกุศล ถวายมหาสังฆทาน หล่อพระพุทธรูป หรือแม้ในขณะที่เราทำบุญสร้างกุศลปิดทององค์พระ เราก็ใช้กายพระวิสุทธิเทพ สวดมนต์สวดคาถาเงินล้าน สวดบทพระคาถามหาจักรพรรดิเราก็ใช้กายพระวิสุทธิเทพสวดเป็นปกติ จนจิตจารึกจดจำ อารมณ์ที่จิตจารึกจดจำว่าเราคือกายพระวิสุทธิเทพนี้ก็ถือว่าเป็นอารมณ์พระนิพพาน ตราบที่เราทรงอารมณ์ รู้สึกตัว มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมในความเป็นกายทิพย์ว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพ นั่นก็คือเรากำลังเจริญพระกรรมฐาน ทรงในอารมณ์ที่ตัดกิเลสทั้งหมด ไม่มีความโลภโกรธหลง ไม่มีความหลงความเกาะความมัวเมา ความอยากความปรารถนาในภพอื่นภูมิใด ดังนั้นเฉพาะการที่เรามีความรู้สึกว่าเราเป็นกายพระวิสุทธิเทพตลอดเวลา นั่นก็คืออารมณ์ที่เราฝึก เป็นการเจริญพระกรรมฐานด้วยกายทิพย์ ด้วยกำลังของมโนมยิทธิ เมื่อเรากำหนดรู้ เราพิจารณาแล้วในเรื่องของกายพระวิสุทธิเทพ เข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความสำคัญ เข้าใจลึกซึ้งถึงกุศโลบายวิธีในการฝึกฝน เราก็พิจารณาต่อไปในวิปัสสนาญาณ
ในวิปัสสนาญาณเราก็พิจารณาไล่ไปตั้งแต่กายหยาบกายเนื้อ พิจารณาให้เห็นว่ากายหยาบกายเนื้อนี้มันมีสภาวะตามธรรมชาติเป็นของมันแบบนี้ มีความแก่ มีความเจ็บไข้ได้ป่วย มีการสลายตัว เราก็พิจารณาให้เห็นขันธ์ห้า เราใช้กายพระวิสุทธิเทพดูขันธ์ห้า ดูค่อยๆมันแก่ไปช้าๆ แก่ เหี่ยว ผมขาว ผมร่วง จนกระทั่งแก่ถึงที่สุดอายุ100ปี แห้งเกรอะกรัง ตาเบ้าลึก ผิวหยาบผิวแห้งตกกระทั้งตัว พิจารณาต่อไปว่าจนกระทั่งแก่ถึงที่สุดก็ตาย ตายแล้วก็เน่าเปื่อยผุพังจนเหลือแต่โครงกระดูก จากโครงกระดูกก็ค่อยๆผุกร่อนสลายตัวเป็นผุยผงไป ไม่มีแก่นสาร ขันธ์ห้าร่างกายก็กลายเป็นธาตุทั้งสี่ คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ กลับคืนสู่โลกคืนสู่พ่อธาตุแม่ธาตุทั้งสี่ คือแม่พระธรณี แม่พระคงคา พ่อพระเพลิง พ่อพระพาย คืนสู่โลกใบนี้
กำหนดพิจารณาว่าจิตเราไม่เกาะในกาย ตัดกาย พิจารณาในอสุภ พิจารณาในมรณานุสติคือความตาย เมื่อสักครู่ที่เราพิจารณาเราก็ไล่ทวนว่าเราพิจารณาไปทั้ง หนึ่ง_กฎไตรลักษณ์การเกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป พิจารณาเห็นความตายมรณานุสติ เห็นร่างกายเน่าเปื่อยผุพังก็เป็นการเจริญอสุภกรรมฐาน เมื่อพิจารณาอันนี้เราก็ตัดกาย ยอมรับตามความเป็นจริงว่าร่างกายขันธ์ห้ากายหยาบมันก็เป็นเช่นนี้ พอพิจารณาแล้ว เราก็พิจารณาต่อไปว่า ตราบที่เรายังมีร่างกายขันธ์ห้าอยู่บนโลกมนุษย์ เราก็สร้างคุณประโยชน์ให้เกิดขึ้นต่อตนเองต่อครอบครัว ต่อชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ย้อนทวนรำลึกไว้ ว่าการที่เราเกิดมาชาติหนึ่งเกิดมาชาตินี้ เราเกิดมาคุ้ม คุ้มที่ว่าไม่ใช่คุ้มในการเสวยสุข แต่คุ้มที่ว่าคือชีวิตเราได้สร้างคุณประโยชน์ให้กับส่วนรวม ได้สร้างบุญสร้างกุศลพอไหม เรียกว่าไม่เสียใจเสียดายเวลาทีหลัง ให้เราน้อมพิจารณา อธิษฐานจิตด้วยญาณเครื่องรู้อันเป็นทิพย์ กำหนดในกายแห่งพระวิสุทธิเทพตอนนี้บนพระนิพพาน
กำหนดอธิษฐานจิตว่า การเกิดมาชาตินี้ของข้าพเจ้าทุกคนแต่ละคนขอของเราเอง ขอให้ปรากฏภาพบุญกุศล พระพุทธรูปทุกพระองค์ที่เราถวายที่เราสร้างที่เราร่วมสร้างมาตลอดชีวิตของเรา เอาเฉพาะชาตินี้ภพนี้เท่านั้น ตั้งแต่เด็กจนจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ขอให้ปรากฏขึ้นทั้งหมด ทานทั้งหลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตพระพุทธศาสนา ขอน้อมอาราธนาให้ญาณเครื่องรู้ในบุญทั้งปวง ปรากฏเฉพาะในเขตพระพุทธศาสนา บุญที่เราได้ใส่บาตรถวายเพลพระ ขอให้เห็นมังสาหารธัญญาหารอาหารทั้งหลาย ที่เราได้ถวายที่เราใส่บาตร ขอให้ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากายพระวิสุทธิเทพของเรา มีมากไหม ไกลสุดลูกหูลูกตาไหม กำหนดให้จิตของเรามีความเอิบอิ่มยินดีในกุศลที่เราทำ ในทานที่เราได้ถวายไว้ในเขตพระพุทธศาสนา อธิษฐานต่อไปอีกว่า ขอให้สังฆทานทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้เคยสร้างนับตั้งแต่เกิดมาในชาตินี้จนถึงปัจจุบัน ขอจงปรากฏเรียงรายมากมายมหาศาลครบถ้วนทั้งหมด กำหนดให้เห็น มากไหมที่เราร่วมสามัคคีกัน ทั้งองค์ใหญ่ องค์เล็กมากไหม กำหนดอธิษฐานจิตต่อไป ขอให้เห็นบุญทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้สร้างได้ถวายเป็นวิหารทาน ร่วมสร้างพระอุโบสถ ร่วมสร้างพระเจดีย์พระมหาเจดีย์ ขอให้ปรากฏผลบุญที่ปรากฏจากการสร้างวัดสร้างพระอุโบสถ สร้างกุฏิ ทำนุบำรุงวัดวาอารามวิหารทานทั้งปวงจงปรากฏ มีมากไหมกว้างไกลไหมมีจำนวนมากไหม หรือมีแค่หลังเดียว มีมากแค่ไหนก็ขอให้รู้ขอให้เห็น แม้ว่าพระอุโบสถหลังนั้นเราทำบุญแค่กระเบื้องแผ่นเดียว แต่กำลังใจเราอธิษฐานว่า เป็นการสร้างพระอุโบสถทั้งหลัง ผลบุญก็ขอจงปรากฏเต็มกำลัง วิหารทานปรากฏขึ้นมากไหม
จากนั้นอธิษฐานต่อไปว่า บุญธรรมทานจากการที่เราได้ถวายหนังสือธรรมะ บทสวดมนต์ก็ดี แชร์ธรรมะต่างๆก็ดี สอนอธิบายทำความเข้าใจชักจูงผู้คนให้เข้าสู่กุศลความดีเข้าสู่ธรรมะ ถือว่าอยู่ในธรรมทาน ขอให้เห็นจำนวนคนมากมายที่เขาได้รับผลแห่งกุศลความดีแม้กุศลแค่เล็กน้อย แค่ได้สวดมนต์ตามที่เราแนะนำที่เราชักจูงเพียงแค่ครั้งเดียวบทเดียว การที่เขาได้เจริญสมาธิแค่นิดเดียว จะมากจะน้อยก็ดี หรือพลิกชีวิตก็ดี ขอให้ปรากฏเห็นบุคคลทั้งหลายเหล่านั้น คนที่บังเอิญมาเปิดเจอFacebookที่เราโพสต์ธรรมะแล้วก็รู้สึกสาธุ รู้สึกอิ่มใจ จำนวนคนที่สาธุกับธรรมทานของเรา พอแค่กดไลค์ กดสาธุ โพสต์สาธุในธรรมทานของเรา ขอให้เห็นจำนวนคนทั้งหลายเหล่านั้น คราวนี้มากไหมเยอะไหมมากมาย
เราก็กำหนดจิต ให้จิตเราอิ่ม จิตเราผ่องใส เห็นว่าชีวิตเรานี้มีประโยชน์ เห็นว่าชีวิตนี้ของเรานี้เป็นมงคล ยังประโยชน์สุขให้กับโลกใบนี้ ตัวเองก็เป็นที่ภาคภูมิใจในตน เทวดาพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็โมทนาสาธุการ
ตอนนี้เราน้อมให้กระแสแห่งกุศล การย้อนรำลึกตรึกนึกถึงบุญกุศลอยู่เสมอบ่อยๆ มันก็เป็นการเติมกำลังบุญ เติมกำลังใจของเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อจิตเราน้อมนึกเช่นนี้แล้ว มันก็เกิดสภาวะที่เป็นการรวมบุญรวมกุศล พอเรานึก ขอให้เห็นกุศลทั้งปวงดังที่ได้พรรณนาและอธิษฐานให้ปรากฏด้วยญาณความเป็นทิพย์ เอาเฉพาะแค่ในชาตินี้ เราอธิษฐานว่าในเมื่อชาตินี้เราจะไปพระนิพพานแล้ว ก็ขอให้ผลบุญทั้งปวงจงรวมตัวกัน และขอให้กลายเป็นกองบุญใหญ่รวมตัวส่งผล ดลบันดาลประทานพรให้ก่อกำเนิดเปิดบุญเปิดสายสมบัติเปิดมหาโภคทรัพย์หลั่งไหลมาเป็นมนุษย์สมบัติในชาติสุดท้ายของข้าพเจ้า มีบุญมีกุศลมีผลบุญเท่าไร บุญใหญ่ๆอันปรากฏขึ้นจากวิหารทาน สังฆทานมหาสังฆทาน ขอจงหลั่งไหลลงมาส่งผลในชาติปัจจุบันเต็มกำลังด้วยเถิด
จากนั้นเราก็กำหนดน้อมให้กายพระวิสุทธิเทพของเราสว่าง เปิดรับบุญกุศล ให้บุญกุศลนี้ส่งผล เราเมตตาตัวเราเองก่อน ปรารถนาให้เรานั้นเป็นผู้ที่ประสบความสุขทั้งในมนุษย์สมบัติ ทิพยสมบัติ พรหมสมบัติ นิพพานสมบัติ อริยทรัพย์จงปรากฏ มนุษย์สมบัติจงปรากฏ ทรงสภาวะกายพระวิสุทธิเทพของเราเอิบอิ่มผ่องใส กำหนดจิตพิจารณา เราเป็นผู้ที่มีบุญ เรามีบุญหนอ เรามีกุศลหนอ เรามีความสุขหนอ ภาวนาบริกรรม เก้าจบ “เรามีบุญหนอ เรามีกุศลหนอ เรามีความสุขหนอ” ภาวนาไปเรื่อยๆ ยิ่งภาวนาให้เห็นกายพระวิสุทธิเทพของเราบนพระนิพพานตอนนี้ยิ่งสว่างขึ้นใสขึ้น ความรู้สึกที่ว่าเราจะมานิพพานได้ไม่ได้ไม่มีเลย มีเพียงแค่เราอยู่บนพระนิพพาน วิมานบนพระนิพพาน นิพพานสมบัติ เป็นของมั่นคงเที่ยงแท้กับเราในชาตินี้แน่นอน ยิ่งบริกรรมยิ่งทบทวนถึงบุญกุศล ใจเรายิ่งเป็นสุข กายพระวิสุทธิเทพยิ่งสว่างขึ้น ใจยิ่งเอิบอิ่มขึ้น อารมณ์จิตของมนุษย์ในกายเนื้อ หากใครมีความซึมเศร้าก็ขอให้กำลังของบุญชำระล้างอารมณ์ซึมเศร้าออกไปจากจิตของเราให้หมด มีแต่ความผ่องใส มีแต่ความสว่าง ยามที่จิตของเราเผลอหวนไปนึกไปจำไปทรงไว้ในอารมณ์แห่งความซึมเศร้า เราก็บริกรรมและรำลึกนึกถึงบุญให้มาส่งผล เราเป็นผู้มีบุญหนอ เรามีจิตอันเป็นกุศลหนอ เรามีความสุขความผ่องใสหนอ กายทิพย์เราสว่าง ตอนนี้ให้เราทรงสภาวะเช่นนี้ไว้ ให้กุศลมาหล่อเลี้ยง บุญมาหล่อเลี้ยง วิปัสสนาญาณพิจารณา บุคคลบนโลกมีความน่าสงสาร นึกถึงแต่บาปแต่อกุศล นึกแล้วก็ทุกข์ นึกแล้วก็ซึมเศร้า นึกแล้วจิตก็เศร้าหมอง นับแต่นี้เราจะนึกถึงแต่ความเป็นกายพระวิสุทธิเทพ นึกถึงแต่พระพุทธเจ้า นึกถึงแต่พระนิพพาน นึกถึงแต่บุญกุศล ใจเรามีแต่บุญกุศล ยังกุศลทั้งหลายให้ถึงพร้อม ละอกุศลทั้งปวง ยังจิตให้ผ่องแผ้วเบิกบาน เข้าถึงแก่นแห่งพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริงมงคลทั้ง38ประการ มงคลที่ประเสริฐที่สุดก็คือ ยังจิตให้ผ่องใสบริสุทธิ์ในจิตพระนิพพาน คือผ่องใสอย่างสิ้นอาสวะกิเลสทั้งปวง
ตอนนี้ก็ให้กายพระวิสุทธิเทพของเราสิ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง ธรรมะทั้ง 84000 พระธรรมขันธ์รวมอยู่ในจิตของเราที่ทรงความรู้สึกในการเป็นกายพระวิสุทธิเทพ จิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน ละอกุศล ละกิเลส ทรงไว้ถึงพร้อม ถึงพร้อมในศีลห้า ถึงพร้อมในศีลแปด ถึงพร้อมในกุศลกรรมบถสิบ ถึงพร้อมในกุศล ถึงพร้อมในความสิ้นอาสวะกิเลส ธรรมทั้งหลาย โพธิปักขิยธรรม 37 ประการ ถึงพร้อมในจิตของเรา มรรคมีองค์แปดถึงพร้อมในจิตของเรา สติรู้กายเวทนาจิตธรรม กายก็ทิ้งกาย กำหนดรู้ในกายพระวิสุทธิเทพ เวทนาก็มีแต่ความสุขความผ่องใสในอารมณ์พระนิพพาน จิตผ่องใสเต็มกำลัง ธรรมอันเป็นเครื่องสิ้นอาสวะกิเลสปรากฏขึ้นเต็มกำลัง มหาสติปัฏฐานสี่ก็ถึงพร้อม ธรรมทั้งปวงถึงพร้อมทั้งหมด อธิษฐานจิตให้ธรรมทั้งปวงที่เราเคยปฏิบัติเป็นแสงสว่างพุ่งมารวมตัวที่กายพระวิสุทธิเทพของเรา ธรรมทั้งปวงถึงพร้อมทั้งหมด ขอญาณเครื่องรู้แห่งปฏิสัมภิทาญาณ ความหยั่งรู้ในธรรมะทั้งหลายจงผุดรู้ปรากฏขึ้น ญาณเครื่องรู้ ญาณทั้งแปดประการขอจงปรากฏขึ้นในจิต ทรงสภาวะที่กายพระวิสุทธิเทพของเราสว่างผ่องใสเป็นสุขที่สุด เครื่องทรงทั้งหลายสว่างแพรวพราวที่สุด จิตตั้งมั่นอยู่บนพระนิพพาน มีความรักความมั่นคงอยู่บนนี้มากที่สุด ทรงสภาวะไว้ เพื่อให้จิตมีความเสถียร กำหนดรู้ว่าเราเป็นผู้ที่มีความเพียรในการปฏิบัติ มีความอดทนต่อการฝึกฝนต่อการฝึกซ้ำทำซ้ำ ยิ่งทำซ้ำยิ่งฝึกซ้ำ ยิ่งปฏิบัติย้ำ จิตยิ่งจดจำอารมณ์ กายพระวิสุทธิเทพผ่องใสที่สุดสว่างที่สุด
เมื่อจิตตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพานแล้ว เราก็ตั้งจิต ขออาราธนาขอน้อมมหาบารมีของทุกท่านทุกๆพระองค์บนพระนิพพาน มีสมเด็จองค์ปฐมทรงเป็นประธาน ขอน้อมเป็นกระแสบุญบารมี เป็นกระแสบุญศักดิ์สิทธิ์ แผ่เมตตาลงไป โปรดยังสามภพภูมิ แผ่เมตตาลงไปยังภพภูมิของอรูปพรหมทั้งสี่
แผ่เมตตาลงไปยังภพของพรหมโลกทั้ง16ชั้น
แผ่เมตตาลงไปยังภพของอากาศเทวดาทั้ง6ชั้น
แผ่เมตตาลงไปยังภพของรุกขเทวดาภูมเทวดาทั่วโลกทั่วทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล
จากนั้นแผ่เมตตาลงไปยังภพกลาง คือภพที่มีกายหยาบขันธ์ห้ากายเนื้อ อันได้แก่ภพของมนุษย์และสัตว์ทั้งโลกใบนี้และดาวดวงอื่นทุกดวงดาวทั่วอนันตจักรวาล
แผ่เมตตาต่อไปยังภพที่เป็นทุคติภูมิที่ไม่มีกายเนื้อ อันได้แก่ภพของ โอปปาติกะสัมภเวสีทั้งหลาย มิติที่ทับซ้อน เมืองบังบทลับแลทั้งหลาย
แผ่เมตตาต่อไปยังภพของเปรตอสูรกายทั้งหลาย
แผ่เมตตาต่อไปลงลึกไปยังนรกภูมิทุกขุมจนถึงขุมที่ลึกที่สุดคือโลกันตมหานรก
จากนั้นแผ่แต่เมตตาสามภพภูมิ ปรารถนาให้ทุกสรรพสัตว์ทุกดวงจิตที่ประสบความทุกข์ก็ขอให้ปลดเปลื้อง พ้นจากความทุกข์ พ้นจากความเศร้าหมอง พ้นจากอวิชชา พ้นจากอกุศลจิต พ้นจากความอาฆาตพยาบาทจองเวรทั้งปวง พ้นจากความทุกข์ พ้นจากความเร่าร้อน พ้นจากความแผดเผาใจแผดเผากายแผดเผาจิต ขอจงสงบร่มเย็น
จากนั้นตั้งจิตอธิษฐานแผ่เมตตา ขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลายที่ประสบความสุขอยู่แล้ว ก็ขอให้ประสบความสุขยิ่งๆขึ้นไป ท่านที่อยู่ในภพภูมิที่ดีแล้ว ก็ขอให้ปรับภพภูมิสู่ภพภูมิที่ดีขึ้นไปยิ่งกว่า ท่านที่อยู่ในภพภูมิที่เป็นทุกข์ก็ขอจงอนุโมทนาบุญ ขอจงโมทนาบุญ ขอจงมหาโมทนาบุญ เพื่อปรับภพภูมิสู่ภพภูมิที่เป็นสุข ท่านที่สุขแล้วก็ขอให้เป็นสุขยิ่งๆขึ้นไป ท่านที่มีจิตเป็นกุศลจิตเป็นบุญ ก็ขอให้เป็นกุศลยิ่งขึ้นไป จิตท่านที่มีเมตตาพรหมวิหารก็ขอให้จงมีเมตตาละเอียดยิ่งขึ้นไป ท่านที่เข้าถึงธรรมแล้วก็ขอให้เข้าถึงธรรมที่ละเอียดบริสุทธิ์วิมุตติหมดจดสูงยิ่งๆขึ้นไป ท่านที่เป็นผู้ประเสริฐอยู่แล้วก็ขอให้เป็นผู้ที่ประเสริฐยิ่งขึ้นไป ใจเรายินดีกับทุกกุศลทุกความดี ใจเรายิ่งอิ่มเอิบในมุทิตามหาอัปปันนาณฌาน ใจเอิบอิ่มยินดีเป็นที่สุด เห็นผู้บรรลุธรรม เห็นผู้เข้าถึงธรรม เห็นผู้เริ่มรักษาศีล เห็นผู้ที่เข้าถึงกุศลความดี ใจเรายินดีเอิบอิ่มผ่องใส ใจเราอิ่มอย่างยิ่งเป็นสุขอย่างยิ่ง จากการแผ่เมตตาน้อมมหาบารมีจากกระแสบุญของพระนิพพานไปโปรดสามภพภูมิ ใจเรายิ่งเอิบอิ่มเป็นสุข
จากนั้นอาราธนากระแสบุญจากพระนิพพานลงมาคลุมโลกใบนี้ จักรวาลนี้ ขอโลกใบนี้จงเข้าสู่ยุคชาววิไล กำหนดน้อมให้เห็นเป็นแสงทองส่องลงมายังโลกนี้ แสงทองจงส่องลงมายังประเทศไทยดินแดนสุวรรณภูมิ อธิษฐานให้เห็นด้วยความเป็นทิพย์ มองให้เห็นทรัพย์แผ่นดิน ทองคำ ขุมทรัพย์ ของมีค่าทั้งหลายในผืนแผ่นดินสุวรรณภูมิ อธิษฐานจิตว่า เมื่อผู้คนเข้าถึงกุศลความดี กุศลความดีมาถึงเพียงพอ ทรัพย์แผ่นดินก็ปรากฏขึ้น ยุคชาววิไลก็ปรากฏขึ้น ดังที่มีนิมิตหมายปรากฏภาพนิมิตภูเขาทองคำในหลายๆจุดหลายๆที่ ที่ปรากฏเป็นนิมิตหมาย ให้สาธุชนคนดีได้รู้ว่าถึงเวลาวาระแห่งการเปิดยุคทองเข้าสู่ยุคชาววิไล จากประเทศไทยแล้วก็ขยายขอบเขตไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก อธิษฐานขอบุญจากพระนิพพาน กุศลทั้งหลายที่เราถวายปฏิบัติเป็นพุทธบูชาธรรมบูชาสังฆบูชา บูชาคุณพ่อแม่ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณรวมไปถึงเทพพรหมเทวาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอผลอานิสงส์แห่งกุศลความดีทานศีลภาวนาบารมี จงปรากฏเป็นบุญรวมตัวกัน กระแสบุญจากพระนิพพานรวมตัวกัน ส่งผลครอบคลุมคุ้มครองประเทศไทย อาณาเขตประเทศไทย เขตพระพุทธศาสนา สังฆมณฑล วัดวาอารามสถานปฏิบัติธรรม พระพุทธรูป พระธาตุพระบรมสารีริกธาตุ ขอจงปรากฏความศักดิ์สิทธิ์อัศจรรย์
จากนั้นอาราธนากระแสบุญ น้อมรวมตัวลงมา คุ้มครองพิทักษ์รักษา องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระบรมราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ทุกๆพระองค์ ตลอดจนบุคคลรัฐบุรุษ สาธุชนคนดีที่สร้างคุณประโยชน์ต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความจริงใจด้วยความบริสุทธิ์ใจ ขอจงมีกำลังบุญกุศลหล่อเลี้ยง เทวดาพรหมผู้เป็นสัมมาทิฐิ เมตตารักษาคุ้มครองช่วยเหลือ ขอคนดีทั้งหลายสาธุชนทั้งหลาย จงพ้นจากวิบากอุปสรรคทั้งปวง ท่านที่ถูกบททดสอบตกทุกข์ได้ยากก็ขอพ้นจากความทุกข์จากวิบากหมดเวรหมดกรรมหมดภัย ได้เวลาที่บุญส่งผล มีความเจริญรุ่งเรืองกันทุกคน ขอให้รู้ตื่นในกิจหน้าที่ที่อธิษฐานลงมาเกิดทุกคน น้อมให้เห็นกระแสจากพระนิพพานลงมาคลุมโลกใบนี้ ยังประโยชน์สุข กระแสบุญกุศลส่งถึงจิต มีแต่ความผ่องใสมีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ตรงนี้เราก็ตั้งกำลังใจไว้ว่าเป็นการปฏิบัติในการช่วยเหลือใช้จิตตานุภาพ บุญแห่งพระกรรมฐาน สมาธิ ฌานสมาบัติ กำลังอภิญญา ในประโยชน์ที่เป็นสาธารณะ ถือว่าทำเพื่อสาธารณประโยชน์ ทำเพื่อทุกดวงจิตในสังสารวัฏสามภพภพภูมินี้ และก็ถือว่าอันที่จริงแล้ว เป็นกิจที่เราทำรับใช้พระพุทธเจ้า ทำรับใช้พระโพธิสัตว์เจ้าทุกพระองค์ เพื่อยังประโยชน์ เพื่อเป็นแสงสว่าง เพื่อเป็นเนื้อนาบุญต่อมวลสรรพสัตว์ทั่วทั้งสังสารวัฏ เราก็ตั้งกำลังใจนี้กราบ กราบลาทุกท่านทุกทุกพระองค์บนพระนิพพาน กราบลาหลวงพ่อหลวงปู่ครูบาอาจารย์ กราบลาเทพพรหมเทวา กราบลาพ่อแม่ท่านผู้มีพระคุณทุกท่าน กราบลาแล้วก็ถวายบุญท่าน ให้ท่านโมทนาบุญกับเรา ให้ท่านเมตตายินดีสาธุกับความเพียรกับความตั้งใจในการเจริญพระกรรมฐานของเราทุกคน กำลังบุญแต้มบุญได้ถูกจารึกสะสมในบัญชีบุญ
เมื่ออธิษฐานแล้วกราบลาแล้วเราก็พุ่งจิตกลับลงมาบนโลกมนุษย์ อธิษฐานน้อมกระแสจากพระนิพพานลงมา ให้กระแสจากพระนิพพานลงมาฟอกธาตุขันธ์ ผมขนเล็บฟันหนังกลายเป็นแก้วใส โครงกระดูกทั่วร่างกายกลายเป็นแก้วใส หลอดเลือดเส้นเอ็นเส้นลมปราณกลายเป็นแก้วใส เซลล์ทุกเซลล์กล้ามเนื้อทุกส่วนอาการทั้ง32อวัยวะภายในทุกส่วน กลายเป็นแก้วใส ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ ชำระล้างหล่อเลี้ยงขันธ์ห้ากายเนื้อนี้ด้วยธาตุธรรม ด้วยกระแสของบุญกุศลหล่อเลี้ยงขันธ์ห้า ด้วยสภาวะความเป็นทิพย์หล่อเลี้ยงเซลล์ทุกเซลล์อาการทั้ง32 ขอพลังชีวิตหล่อเลี้ยงขันธ์ห้าร่างกาย กายจิตมีความผ่องใสสมบูรณ์ โรคภัยไข้เจ็บสลายตัว เซลล์ที่ผิดปกติสลายตัวยุบตัวหายไปจนหมด โรคภัยไข้เจ็บสลายตัวไป พยาธิสภาพทั้งหลายสลายตัวไป ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ไหลเวียนหล่อเลี้ยงยังอวัยวะที่เคยป่วยที่เคยเจ็บที่เคยปวดที่เคยไม่สบาย ธาตุธรรมฟอกธาตุขันธ์ชำระล้างสลายอาการเวทนา ทั้งที่เกิดจากพยาธิสภาพก็ตาม ทั้งที่เกิดจากวิบากอกุศลกรรมข้อปาณาฯทั้งหลาย ขอจงมีธาตุธรรมกำลังของบุญมาสลายวิบากกรรมให้หมดจากร่างกายขันธ์ห้าของข้าพเจ้านี้ด้วยเทอญ
ขอธาตุธรรมขอธาตุแห่งความเป็นทิพย์หล่อเลี้ยงร่างกายปรากฏเกิดเป็นรัศมีราศีปรากฏกระจ่างต่อตัวเองต่อผู้คนรอบข้าง กระแสเมตตา กระแสเย็น กระแสของความสงบความสุขเปล่งประกายจากกายเนื้อจากจิตดวงนี้ด้วยเทอญ รัศมีของผู้มีบุญสมบูรณ์จงปรากฏ รัศมีแห่งกุศลจากจิตจากเมตตาจงปรากฏ
จากนั้นตั้งจิตโมทนาสาธุกับกัลยาณมิตรในห้องเมตตาสมาธิที่เจริญพระกรรมฐานทั้ง74ท่านอันเป็นกุศล เพียงแค่แสงสว่างแค่หัวไม้ขีดก็เป็นบุญมากมายมหาศาล แต่การที่เรายังจิตให้ผ่องใสเบิกบานบริสุทธิ์ และสะอาดว่างจากอาสวะกิเลส มั่นคงตั้งมั่นอยู่กับพระนิพพาน แค่จิตหนึ่งดวงที่เข้าถึงสภาวะเช่นนี้ก็เป็นบุญมหาศาล แต่เรายังประโยชน์สร้างกุศลเป็นอภิจิตรวมตัว บุญทั้งหลายก็มากมายแผ่ไพศาลอย่างหาที่สุดหาประมาณไม่ได้ ก็ขอให้บุญนี้จงสำเร็จประโยชน์ในกัลยาณมิตรทุกคน ทั้งที่ปฏิบัติร่วมกันในปัจจุบันขณะนี้และก็ที่มาฟังมาปฏิบัติตามในภายหลังด้วยความเพียร ด้วยความตั้งมั่น ขอจงเกิดเป็นบุญกุศล ยังให้จิตของเราเข้าถึงซึ่งพระนิพพานได้โดยง่ายโดยพลันทุกดวงจิตด้วยเทอญ
จากนั้นหายใจเข้าช้าๆลึกๆ3ครั้ง หายใจเข้าพุทธ ออกโธ หายใจเข้าช้าๆลึกๆครั้งที่2ธัมโม หายใจเข้าช้าลึกยาวหายใจเข้าสัง หายใจออกโฆ จากนั้นถอนจิตช้าๆออกจากสมาธิด้วยความผ่องใสด้วยความสุขด้วยความสงบร่มเย็น
ขอให้เราทุกคนมีความความสุขมีความเจริญทั้งทางโลกทางธรรม
สำหรับวันนี้ก็มีเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบ
เรื่องที่1ก็คือวันที่ 30 พฤศจิกายนก็จะเป็นวันที่เราเปิดคอร์สเมตตาสมาธิที่สมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งยังมีที่ว่างอยู่บ้าง สามารถลงทะเบียนได้ และในจำนวนคนที่ลงทะเบียนไปแล้วก็ยังมีอีกประมาณ6ท่าน ที่ยังไม่ได้โอนปัจจัยในการมัดจำการลงทะเบียน ซึ่งหลักสูตรเมตตาสมาธินี้เป็นหลักสูตรฟรี แต่เราวางมัดจำไว้เพื่อที่ว่าท่านที่ลงทะเบียนไว้จะได้มาในงานแล้วก็รับปัจจัยที่วางมัดจำไว้คือที่โต๊ะประชาสัมพันธ์ โดยที่หลักสูตรนี้ปฏิบัติกันเต็มวัน มีเลี้ยงทั้งอาหารกลางวันและของว่างพร้อมทั้งหมด ไม่ได้มีค่าใช้จ่ายแต่อย่างใด แต่อยากให้เราที่ตั้งใจว่ามาจริงๆ ลงทะเบียนเป็นเครื่องยืนยันเพื่อจะได้จัดเตรียมอาหารให้ครบถ้วนพอดีคน ไม่ได้เตรียมเกินจนเกินไป หรือล้นจนเกินไป จนท่านเจ้าภาพที่อำนวยความสะดวกในการจัดงานนั้นเสียทรัพย์สิ้นเปลืองไปโดยเปล่าประโยชน์ ตอนนี้ยังสามารถสมัครได้ทันถ้าเป็นไปได้ก็พยายามมาปฏิบัติ
ส่วนเรื่องที่2ก็จะมีหลักสูตรเป็นการปฏิบัติเข้มข้นใช้เวลาทั้งหมด3วัน2คืนในวันที่14 15 16 พฤศจิกายน ที่จังหวัดชุมพร ซึ่งก็ยังสามารถลงทะเบียนได้ การปฏิบัติที่เข้มข้นนั้นก็จะประกอบไปด้วยการเจริญสมาธิ ทั้งสมถ วิปัสสนา การทรงอารมณ์ตลอดทั้ง3วัน รวมถึงมีหลักสูตรควบพิเศษให้ ก็คือหลักสูตรพลังแห่งความโชคดี หลักสูตรUltimate Healer แล้วก็มีการบำรุงปฏิบัติในเรื่องของการปรับขันธ์ห้าร่างกาย เป็นการรีทรีตทั้งกายทั้งจิตไปพร้อมกัน ตอนนี้ก็ยังมีที่ว่างอยู่บ้าง ยังสามารถสมัครทัน สำหรับใครที่สะดวกที่จังหวัดชุมพรอันนี้ก็เป็นเรื่องที่2
ส่วนเรื่องที่3ก็คือจะแจ้งให้ทราบว่าเนื่องจากอาจารย์ต้องไปจัดคอร์สที่จังหวัดชุมพรในวันเสาร์อาทิตย์หน้าก็ขออนุญาตที่จะลา เพราะว่าติดพันอยู่กับการจัดคอร์สอยู่ อันนี้ก็เป็น3เรื่อง
ส่วนเรื่องที่สี่ก็คืองานสมโภชพระเจ้าองค์แสนดวงจิตพระนิพพาน จะจัดให้มีในวันที่17มกราคมที่วัดพุทธโมกข์ จังหวัดสกลนคร ท่านใดที่สนใจจะเดินทางไปร่วมงานสมโภชก็สามารถเรียนเชิญได้ กำหนดและรายละเอียดของการจัดงานก็จะแจ้งให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง และท่านใดที่สนใจจะไปเดินทางไปงานสมโภชจริงๆทางทีมงานก็จะช่วยประสานให้ข้อมูลในบางเรื่องที่จะได้อำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่สนใจจะไป ก็สามารถทักมาได้ อันนี้ก็เป็นเรื่องทั้งหมดที่แจ้งให้ทราบ
สำหรับวันนี้ก็ขอโมทนาบุญกับทุกคน
ขอให้เราทุกคนมีความตั้งใจมีความพากเพียรในการปฏิบัติ ช่วงนี้เป็นช่วงเวลาที่ใกล้เวลาที่เขาจะคัดกรองคนโดยละเอียดมากขึ้น ดังนั้นพยายามทรงอารมณ์จิตของเราให้อยู่ในกุศลให้แนบอยู่ในบุญไว้เสมอ จะมีวิบากจะมีอุปสรรคมาบ้าง น้ำท่วมบ้างหรือความติดขัดขัดเคืองบ้างก็ขอให้พากเพียรรักษาความผ่องใสของจิต ในที่สุดทุกอย่างก็จะผ่านพ้น แล้วก็ฟ้าใหม่ก็จะปรากฏขึ้นในเวลาอันไม่นานนี้ ก็ให้เราอดทนรักษาความดีต่อไป สำหรับวันนี้สวัสดี
ถอดเสียงและเรียบเรียงโดย : คุณวิลาวัลย์ วลีเดช




